การใช้งานไมโครโฟนก็ ย่อมมีเรื่องของค่าอิมพีแด๊นซ์(Impedance) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนการทำระบบเสียงย่อมต้องมีเรื่องของไมโครโฟนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ แล้ว เราจึงจำแนกไมโครโฟนโดยใช้ค่าความต้านทานเป็นตัวแบ่งประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกมาได้ สองประเภทหลัก ได้แก่ [/b]
1. High Impedance อิมพี แด๊นซ์( Impedance) ซึ่งมีค่าความต้านทานสูง (High impedance) กำหนดค่าระหว่าง 5k โอห์ม ไปจนถึง 100 k โอห์ม ด้วยค่าความต้านทานที่มีอยู่สูงนี้ มีผลโดยตรงต่อกำลังของสัญญาณที่ให้ออกมาน้อยเนื่องจากสูญเสียไปจากค่าความ ต้านทานที่มีมากในไมโครโฟนประเภทนี้ ข้อด้อยจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ เสียงรบกวนสูงที่แทรกซึมเข้ามาได้ง่ายๆ เช่น เสียงจี่ เสียงฮัม ไมโครโฟนที่มีค่าความต้านทานสูงนี้จะไม่เหมาะเลยต่อการต่อสายสัญญาณที่ยาวๆ หลายๆเมตร เพราะการต่อสายสัญญาณที่ยาว ก็ยิ่งทำให้สูญเสียกำลังของสัญญาณมากขึ้น เพราะต้องเร่งเกนขยายเพิ่มขึ้นที่ปรีไมโครโฟนเพื่อชดเชยการสูญเสียของสัญญาณ เสียง ดังนั้น สำหรับการทำระบบเสียงมืออาชีพ เราจะไม่ใช้งานไมโครโฟนประเภทนี้ ไมโครโฟนลักษณะนี้จะใช้หัวขั้วต่อแบบ unbalanced ซึ่งได้แก่หัวขั้วต่อแบบ TS[/b]
2. Low Impedance อิมพีแด๊นซ์ ตํ่า หมายถึง มีค่าความต้านทานตํ่า (low impedance) กำหนดค่าความต้านทานอยู่ระหว่าง 200 โอห์ม ถึง 600 โอห์ม ด้วยค่าความต้านทานที่ตํ่านี้ ทำให้เกิดค่าความต้านทานต่อการเดินทางของสัญญาณเสียงที่น้อยลง ทำให้กำลังของสัญญาณที่ออกมามีการสูญเสียน้อยลง ก็จะได้กำลังสัญญาณที่ดีขึ้นมีผลโดยตรงทำให้เสียงรบกวนตํ่า ย่านความถี่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันสามารถเดินสายสัญญาณได้ยาวมากขึ้น ดังนั้นสำหรับการทำระบบเสียงแบบมืออาชีพจึงนิยมใช้แต่ไมโครโฟนประเภทนี้ทั้ง หมด ซึ่งจะใช้หัวขั้วต่อแบบ XLR (balanced)[/b]
ขอขอบคุณ ที่มา http://www.koratsound.com/home/index.php?topic=11852.0